เหล็กไหล

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ที่ห้วยขาแข้งมาอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ไม่ได้ไปเสียนาน…ก็ขาหัก เอ๊ย ไม่มีรถใช้น่ะซี
คราวนี้ไปแบบคนแบกทุกข์…เพราะอยากช่วยอาเหลียง
ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าคิดให้ดี ๆ น่าจะช่วยตัวเราเองมากกว่า
เพราะถ้าอาเหลียงหายเป็นปกติดี…เราก็จะมีคนช่วยงานไงล่ะ!!!
 
คราวนี้เราไปคนเดียว…ก็จึงขับเรื่อย ๆ แบบมีสติ…
ไม่ได้เร่งร้อนให้ถึงปลายทาง หรือว่าขับแบบแท๊กซี่แต่อย่างใด
และก็เช่นเคย แวะหาอะไรยัดใส่ท้องจากตลาดในตัวอำเภอบ้านไร่
ซึ่งที่นี่จะมีร้านประจำอยู่สองร้านด้วยกันคือ ร้านผัดไทยในตัวตลาด
ซึงฝั่งตรงข้าม จะมีร้านกล้วยแขก อร่อย สะท้านโลก…๕๕๕๕ ก็เค้าว่าอย่างนั้น
ความจริงก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว ส่วนอีกร้านหนึ่งก็
ร้านอาหารบ้านสวนซึ่งเป็นรีสอร์ทด้วย…จัดร้านสวย ต้นไม้ร่มรื่น และก็อาหารอร่อย
 
เมื่อไปถึงวัด ก็เห็นญาติโยมจำนวนมากกำลังสนทนาธรรมกับหลวงปู่อยู่
เราก็เอารถเข้าจอดยังใต้ถุนศาลา…ที่ประจำ…สำหรับการค้างคืน
เข้าไปกราบหลวงปู่…แล้วก็เลยมาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์สงครามแทน
ท่านกลับบอกว่า…ไปนอนพักที่กุฏิใต้ต้นประดู่โน่นก่อนไป๊
หรือว่าจะขึ้นไปกุฏิบนก็ได้…เอ๋ ทำไมพระอาจารย์ไล่เราไปนอนหว่า????
 
เอ้า! นอนก็นอนซี งานถนัดอยู่แล้ว..
ความจริงแล้วสำหรับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ
เราจะเป็นคนที่โง่มาก…สั่งให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ต้องคิด…
เราได้ธรรมจากท่านทั้งสองมาก็จากการทำตามคำสั่งสอนของท่านอย่างเคร่งครัดนั้นเอง
ในตอนแรก ๆ ท่านก็สอนเยอะหน่อย…แต่พอมาช่วงหลัง ๆ
ท่านก็จะบอกว่า…เอาสอนน้อย ๆ ทำมาก ๆ หน่อยก็แล้วกัน
และคำสอนในแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันไป…
 
วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก…เรานอนบนเปลยวนที่มีคนผูกเอาไว้หน้ากุฏิ
ตื่นมาอีกทีก็บ่ายมากแล้ว…มีเหงื่อออกมาท่วมตัวเลย
และก็รู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง คอแห้งผากและเจ็บคอ
สงสัยจะเป็นหวัดแดดเสียแล้วซีเรา?
ก็เลยช่างมันปะไร…อยากเป็นได้ เดี๋ยวก็หายเองแหละ
 
ชะโงกดูหลวงปู่…ญาติโยมก็ยังเยอะ ไม่ยอมถอย
สงสารหลวงปู่จัง…ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
เราอยากจะไปกวน…แต่ก็ไม่กล้า ไม่อยากขัดจังหวะญาติโยมเหล่านั้น
ว่าแล้วไปเดินเที่ยวดีกว่า…เขาลูกนี้ น่าเดินจะตาย
 
ว่าแล้วก็ออกเดินขึ้นเขาผ่านกุฏิหลวงปู่ ไปยังยอดเขา
แล้วก็เช่นเคย…ไปหยุดอยู่ที่ห้าง…อ๊ะ อ๊ะ มะใช่ห้างสรรพสินค้านะ
แต่เป็นนั่งร้านที่เค้าทำไว้บนต้นไม้นั่นแหละ…เป็นห้างขาประจำ…ก็มาสำรวจไว้ก่อนว่า
ยังแข็งแรง สามารถมานั่งฟังเสียงสัตว์ ในตอนกลางคืนได้ไหมน่ะ???
 
คราวนี้ไม่เดินกลับทางเก่าแล้ว แต่เดินลัดเลาะต่อไปยังเขาอีกด้านหนึ่ง
ปีนี้มีต้นไม้เขียวชอุ่มกว่าปีกลาย…ผลงานของหลวงป่เริ่มเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ปีนี้ไม่มีไฟป่าให้เห็นอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว…พื้นดินมีพืชคลุมดินปกคลุม
ทำให้ดินชุ่มชื้น ต้นไม้ที่ไม่มีประโยชน์และเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ได้ถูกถางออกไปจนหมด เหลือไว้แต่เพียงที่เป็นประโยชน์
และก็ปลูกต้นไม้ที่เป็นประโยชน์เข้าไปทดแทนด้วย
ขณะนี้ต้นไม้ที่ปลูกไว้กำลังงามเชียว
 
และแล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า
"อะไรคือพืชคลุมดินสำหรับการปฏิบัติของเรา????"
ก็เดินไปเรื่อย ๆ ดูโน่นดูนี่ไปตลอดทาง
จนได้ยินเสียงของหลวงปู่แว่วเข้ามาในความคิดว่า
"ก็ศีล สมาธิ ไง"
เสียงของหลวงปู่ชัดเจน แจ่มใส และก็เน้นเป็นพิเศษ
เรามัวแต่หลงคิดอยู่ว่า เสียงนี้เข้ามาในความคิดได้ไง
จนมาได้ยินเสียงไฟป่า เราจึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น
เพราะว่าช่วงนี้หาไฟป่ายากแล้ว…ก็น่าจะไปดูเสียหน่อย
 
แต่พอไปถึงจริง ๆ กลับเป็นพระอาจารย์สงครามกำลังจุดไฟเผากอไผ่
ที่โค่นไว้ตั้งแต่ตอนออกพรรษาแล้ว…ตอนนี้ก็แห้งติดไฟได้เป็นอย่างดีเลย
ไฟลุกโหมโชติช่วงมาก…ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เราจะกลัว
จนเคยบอกอาเหลียงว่า…สงสัยเราเคยเป็นสัตว์ป่าและก็ถูกไฟป่าเล่นงานมาแน่เลย
คราวนี้กลับยืนมอง พิจารณาเฉย ๆ และก็ระลึกถึงการเผาศพในต่างจังหวัดในสมัยก่อน
ที่จุดไฟเผาบนเชิงตะกอน…เราสามารถมองเห็นไฟลุกไหม้และก็เห็นศพที่กำลังไหม้ได้เป็นอย่างดี
คราวนี้ก็จึงมองดูกองไฟและก็คิดว่า ซักวันหนึ่งเราก็คงต้องโดนไฟนี้เผาผลาญลงเช่นกัน
 
ไม่นานนัก พระอาจารย์สงครามก็หยุดและก็ให้ธรรมะเราเช่นเคย
ท่านถามถึงสารทุกข์สุขดิบ แล้วก็ตบท้ายด้วยธรรมะให้เรา
ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านสามารถชี้ทางดับทุกข์สำหรับชีวิตโลก ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
 
สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สงครามจนเย็นโพล้เพล้ ก็จึงแยกย้ายกันไป
เรากลับมาอาบน้ำ เพราะกลัวว่าค่ำมาก อากาศจะเย็น
แล้วก็ได้โอกาสดีที่หลวงปู่ว่าง จึงเข้าไปกราบสนทนาธรรมกับท่าน
เมื่อแจ้งความประสงค์ในการมาครั้งนี้ให้หลวงปุ่ทราบแล้ว
ท่านก็แนะนำให้อย่างดี…แล้วก็เช่นเดิมที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือ
การให้ธรรมะสำหรับเรา….
 
การบ้านครั้งที่แล้ว หลวงปู่ให้เราเฝ้าดูกิเลสที่จรเข้ามา
แล้วก็สังเกตุดูว่า ตัวใหนที่เราเอาชนะมันได้แล้ว ตัวใหนที่ยังแพ้แก่มันอยู่
แต่เรากลับจะฝาดฟันมันอย่างเดียว…จะเอาชนะให้ได้
คราวนี้หลวงปู่จึงบอกว่า…"อย่าไปตั้งท่าแต่จะฟันมันอย่างเดียว
กิเลสนี่มันเหมือนเหล็กไหล ถ้าเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฟันอย่างเดียว
มีดก็มีโอกาสบิ่นหรือแตก หัก ได้ เหมือนกัน"
แล้วท่านก็แนะนำต่อไปว่า "ให้เราค่อย ๆ สังเกตุมันไป
เมื่อเรารุ้เท่าทันมัน มันก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนกับกิเลส
ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่คล้อยตาม…
เพราะกิเลสนี่แหละที่มาสอนธรรมะให้เรา ไม่ใช่ใครที่ใหนหรอก"
และก็เช่นเคย ท่านก็จะตบท้ายด้วยประโยคที่ว่า
"ใจเย็น ๆ อย่ารีบร้อน" ซึ่งเราก็มักจะเถียงท่านทุกทีว่า
"ก็พ่อแม่ครูบาอาจารย์กำลังหายไปทีละท่านสองท่าน
นี่ขนาดมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์คอยแนะนำยังไม่ใหนเลย
แล้วเมื่อไม่มีท่าน ผมจะทำอย่างไร??" ท่านก็ไม่ตอบ
ได้แต่อึ้งไปซักพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
"ก็แล้วแต่บารมีของใครก็ของมัน"

Published by aripu

ตามหาตัวเอง...

One thought on “เหล็กไหล

ใส่ความเห็น